วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2565

โบว์ลิ่งน่ารู้ By น้าจบ ตอน คุณโยนโบว์ลิ่งสไตล์ไหน ลองมาดูกันครับ

สวัสดีครับพี่น้องชาวโบว์ลิ่งทุกท่าน วันนี้น้าจบโบว์ลิ่งเทคโนโลยีก็มีสาระมาแบ่งปันให้พี่ๆน้องๆทุกท่านอีกครั้งนะครับ วันนี้น้าจบจะมาแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องลักษณะในการโยนโบว์ลิ่งแนวต่างๆที่มีให้กับทุกท่านครับ เรื่องนี้เองก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องที่เราจะใช้ในการว่างแผนการโยน รวมถึงทั้งการเลือกลูกโบว์ลิ่งและเจาะลูกโบว์ลิ่งเลยครับ มาลองดูกันนะครับพี่น้อง ถ้าว่ากันจริงๆแล้วแนวการโยนโบว์ลิ่งมีอยู่ประมาณ 13 แบบครับ แต่ในวันนี้น้าจบจะขอยกมาเป็นกลุ่มใหญ่ๆที่ใช้พูดคุยกันทั่วๆไปมาเล่าให้ฟังนะครับ แนวการโยนโบว์ลิ่งหลักๆแบ่งเป็นประมาณนี้นะครับ 1. โยนตรง - Straight Ball (ไม่มีรูปประกอบ) เป็นแนวการโยนโบว์ลิ่งที่พื้นฐานที่สุดในทุกแนวครับ เนื่องจากไม่มีเทคนิคที่ซับซ้อนที่ต้องใช้ในการโยนแนวนี้ การโยนตรงเน้นเรื่องความแม่นยำเป็นหลักครับ การโยนตรงไม่มีรูปแบบหรือฟอร์มที่ตายตัว จุดหลักคือการโยนกลิ้งให้ลูกโบว์ลิ่งกลิ้งตรงออกไปจนกระทั่งชนพินครับ ข้อดีของการโยนตรงคือการฝึกฝนไม่ยากครับ ขอเพียงท่านสามารถคุมการโยนให้ลูกโบว์ลิ่งวิ่งไปตามไลน์ที่ท่านต้องการโยนเท่านั้น และท่านที่มีความแม่นยำในการโยนลูกตรงจะสามารถรักษาคะแนนเฉลี่ยได้ดีจากการเก็บสแปร์ได้อย่างต่อเนื่อง แต่การโยนตรงก็มีข้อเสียในเรื่องการการมีโอกาสผิดพลาดได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากเหลี่ยมการเข้าพินที่หวังผลสไตรค์ได้มีน้อยกว่าการโยนเคิฟครับ การโยนตรงแม่นแม้ทำให้รักษาคะแนนเฉลี่ยเกาะกลุ่มได้ค่อนข้างดี แต่ก็โยนทำคะแนนสูงหรือไฮเกมได้ค่อนข้างยากเช่นกันครับ ในอดีตการโยนตรงยังถูกใช้ในการแข่งขันโดยนักกีฬาด้วย โดยนักกีฬาผู้มีความสามารถในการโยนตรงในระดับตำนานได้แก่ดอน คาร์เตอร์ (Don Carter) หนึ่งในตำนานตลอดการของประวัติศาสตร์ PBA ครับ 2. โยนโค้ง - Curve Ball เป็นแนวการโยนที่นิยมแพร่หลายที่สุดในหมู่นักกีฬาและผู้เล่นที่เริ่มจริงจังในการโยนโยว์ลิ่ง เนื่องจากการโยนโค้งทำให้มีมุมการเข้าปะทะพินที่กว้างกว่าการโยนตรง ทำให้โอกาสหวังผลในการทำสไตรค์มากกว่าการโยนตรงครับ และการโยนให้ลูกโบว์ลิ่งเลี้ยวโค้งเข้าหาพิน บางครั้งก็สามารถมองเป็นความสวยงามอย่างหนึ่งของการโยนโบว์ลิ่งได้เช่นกันครับ แต่การโยนโค้งก็ต้องการการฝึกฝนที่มากกว่าการโยนตรงด้วยเช่นกัน โดยแนวการโยนโค้งมีค่อนข้างหลากหลายมากๆ สามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆได้ตามนี้ครับ - ฟูลโรลเลอร์ (Full Roller) เป็นวิธีการโยนโค้งที่มีมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของโบว์ลิ่งเลยครับ โดยหลักแล้วการโยนฟูลโรลเลอร์จะทำให้เส้นน้ำมันวิ่งพาดผ่านตรงกลางระหว่างรูนิ้วโป้งกับฟิงเกอร์ (รูนิ้วกลางและนิ้วนาง) ครับ ถ้าเป็นการโยนฟูลโรลเลอร์ในกรณีทั่วๆไป ผู้โยนมักมีการคว่ำมือในระหว่างสวิงไปด้านหลังตามรูป และในจังหวะสวิงลงลูกโบว์ลิ่งจะถูกปล่อยข้างลำตัวในลักษณะมือก้ามปู โดยนิ้วกลางและนิ้วนางจะนำนิ้วโป้งครับ สาเหตุของการโยนแบบนี้ คาดว่าในยุคแรกๆตั้งแต่ 1800s ปลายๆจนถึง 1920 ลูกโบว์ลิ่งนิยมเจาะรูเพียงสองรู คือรูนิ้วโป้ง และรูนิ้วกลาง การใส่นิ้วแค่นิ้วโป้งและนิ้วกลางทำให้แนวการรับน้ำหนักเป็นเพียงเส้นตรงระหว่างสองนิ้วเท่านั้นทำให้เวลาสวิงลง ลูกโบว์ลิ่งจะถ่วงให้มือพลิกคว่ำได้ และพอสุดวงสวิงด้านหลัง ลูกจะถ่วงมือให้เหวี่ยงกลับไปด้านหน้า และในจังหวะนั้นน้ำหนักของลูกจะถ่วงมือในตำแหน่งคว่ำให้กลับมาเป็นการปล่อยบอลในลักษณะมือก้ามปูครับ ข้อดีของการโยนฟูลโรลเลอร์คือลูกโบว์ลิ่งวิ่งได้แบบเต็มวงหรือเส้นน้ำมันผ่าครึ่งลูกพอดี ทำให้ได้การวิ่งที่วงใหญ่เหมือนกับใช้รถยางขนาดใหญ่ แม้จะไม่ได้โยนรอบเยอะมาก ลูกยังสามารถเลี้ยวได้อยู่ แต่ข้อเสียก็คือด้วยรอบที่ไม่เยอะมากทำให้ไลน์ในการโยนค่อนข้างจำกัดครับ ในรูปที่นำมาแสดงประกอบคือแอนดี้ วาริปาป้า (Andy Varipapa) นักกีฬาโบว์ลิ่งชื่อดังตั้งแต่ยุค 1930 ครับ - สโตรคเกอร์ (Stroker) เป็นแนวการโยนโค้งอีกแนวที่ค่อนข้างคลาสสิคโดยเริ่มพบการโยนแบบนี้ตั้งแต่ช่วง 1950 ผู้ที่โยนแนวนี้มีลักษณะการโยนที่เน้นการปล่อยลูกโบว์ลิ่งจากด้านข้างบอลตามรูป โดยใช้การให้ข้อมือเอียงทำมุมและยกมือขึ้นในมุมนั้นเพื่อเกี่ยวลูกในจังหวะปล่อยบอล วิธีการปล่อยแบบมือเอียงและยกขึ้นมีลักษณะคล้ายกับการเชคแฮนด์ หรือการยกแก้วน้ำกระดก ทำให้การโยนสโตรคเกอร์ถูกเรียกว่าการโยนแบบเชคแฮนด์ด้วย คำว่าสโตรคเกอร์ยังหมายรวมคงผู้โยนโค้งในแบบทั่วๆไปที่มีรอบการหมุนของบอลไม่เกินสามร้อยต้นๆรอบต่อนาทีด้วยครับ การโยนสโตรคเกอร์เป็นแนวที่พบในส่วนที่โยนโค้งส่วนใหญ่ เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นของการโยนโค้งเลยก็ว่าได้ ปกติการโยนสโตรคเกอร์อาจจะไม่ได้ทำให้บอลแรงและรอบจัดมากมาย แต่การโยนสโตรคเกอร์มีข้อดีในเรื่องความแม่นยำในการโยน และคุมทิศทางของลูกโบว์ลิ่งได้ไม่ยากมากครับ แล้วมุมการเข้าปะทะของสโตรคเกอร์ยังไม่กว้างจนเกิดไป ทำให้โอกาสออกสปลิทไม่เยอะมากด้วยครับ นักกีฬาที่โยนสโตรคเกอร์ที่มีชื่อเสียงเช่น วอลเทอร์ เรย์ วิลเลี่ยมส์ จูเนียร์ (Walter Ray Williams Jr.), ปาร์คเกอร์ บอห์น (Parker Bohn III) และนอร์ม ดุค (Norm Duke) ครับ นักกีฬาบางท่านอาจจะโยนสโตรคเกอร์ที่มีวงสวิงที่สูงกว่าและเกี่ยวบอลมากกว่าสโตรค์เกอร์ทั่วไป เช่น พีท เวเบอร์ (Pete Weber) แนวแบบนั้นเรียกว่าพาวเวอร์ สโตรคเกอร์ ที่ต่อยอดมาจากสโตรคเกอร์อีกทีครับ - ทวีนเนอร์ (Tweener) เป็นคำที่ผันมาจากคำว่าอิน บีทวีน (In-between) ครับ การโยนแบบทวีนเนอร์เป็นแนวที่มีสปีด รอบการหมุน และความรุนแรงอยู่ตรงกลางระหว่างสโตรค์เกอร์ กับแครงค์เกอร์ โดยผู้โยนแนวนี้จะมีรอบเฉลี่ยประมาณ 350 ถึง 400 รอบต่อนาทีครับ แนวการโยนแบบนี้อาจเรียกได้อีกอย่างว่าเป็นการโยนพาวเวอร์ในยุคก่อน โดยแนวนี้ต่างกับการโยนสโตรคเกอร์ตรง ผู้เล่นมีจังหวะการโยนที่ค่อนข้างมีพลังมากกว่าการโยนสโตรคเกอร์ บางท่านอาจมีวงสวิงที่สูงขึ้น หรือบ้างท่านมีการเกี่ยวลูกโบว์ลิ่งจากหลังบอล หรือใต้บอลมากกว่าการโยนสโตรคเกอร์และมีการเทิร์นข้อมือช่วยด้วยหรือบางท่านอาจมีการสะบัดข้อมือเล็กน้อย ทำให้เกิดรอบการหมุนและสปีดที่มากกว่าการโยนแบบสโตรคเกอร์ครับ นักกีฬาที่โยนสไตล์นี้ได้แก่ มีก้า คอยวูนีเอ็มมี่ (Mika Koivuniemi) และบ๊อบ เลิร์น (Bob Learn) ครับ - แครงค์เกอร์ (Cranker) หรือบางท่านก็เรียกว่าพาวเวอร์ บอล (Power Ball) ซึ่งสองแนวนี้ค่อนข้างมีความใกล้เคียงกัน โดยทั่วไปก็เลยเรียกคนที่โยนกลุ่มนี้ว่าแครงค์เกอร์ครับ การโยนแนวนี้ถือเป็นการโยนมือเดียวที่ดุดันที่สุด สปีดบอลสูงที่สุด และมีรอบการหมุนที่จัดจ้านในย่านนี้ที่สุด นิยมใช้กันในวงนักกีฬาครับ โดยทั่วไปผู้ที่โยนแนวนี้จะมีวงสวิงที่สูง บางท่านอาจจะสูงถึงตั้งฉากกับพื้น และในจังหวะปล่อยมักจะใช้การงอข้อศอกและสะบัดข้อมือออกเพื่อช่วยสร้างรอบการหมุน ทั่วไปแล้วผู้ที่โยนแนวนี้จะมีรอบเฉลี่ยตั้งแต่ 400 รอบต่อนาทีขึ้นไปครับ บางท่านอย่างโรเบิร์ต สมิธ สามารถโยนขึ้นไปได้ถึง 650 รอบต่อนาทีได้เลยครับซึ่งถือว่าจัดจ้านสุดๆแล้ว ข้อดีของการโยนแครงค์เกอร์คือสปีดดี รอบจัด เข้าปะทะพินแรงสะใจวัยรุ่น การเข้าปะทะแรงทำให้เกิดพินแอคชั่น (Pin action) ที่ดี สามารถเพิ่มโอกาสสไตรค์ได้จากพินที่บินว่อนอยู่ตรงนั้นเพราะความรุนแรงของบอล แต่การโยนแครงค์เกอร์ก็มีข้อเสียตรงการควบคุมทิศทางและความสม่ำเสมอทำได้ยากเนื่องจากการวิ่งของลูกมีความรุนแรงมาก ต้องใช้การฝึกฝนอย่างหนักเป็นประจำ ใช้พลังงานในการโยนเยอะทำให้เหนือยเร็วกว่าแบบอื่นๆ เสี่ยงโยนออกสปลิท และอาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหากโยนผิดพลาดด้วยครับ ในยุคนี้นักกีฬาที่โยนแครงค์เกอร์มีมากมาย แต่น้าจบก็จะขอยกตัวอย่างอัมเลโต้ โมนาเชลลี่ (Amleto Monacelli) ที่เป็นคนแรกๆที่โยนแครงค์เกอร์ตั้งแต่ยุค 1980 ครับ - โยนสองมือ (Two-handed delivery) เป็นการโยนที่เพิ่งแพร่หลายมาได้ประมาณ 10 กว่าปีมานี้ โดยคาดว่าที่มา มาจากการโยนตั้งแต่สมัยเด็ก และยึดถือการโยนแนวนี้มาจนโต ผู้ที่โยนสองมือนั้นสามารถสร้างรอบบอลมหาศาลได้อย่างไม่น่าเชื่อเพราะคนที่โยนสองมือส่วนใหญ่แล้วโยนไม่ใส่นิ้วโป้ง (มีคนที่โยนสองมือแต่ใส่นิ้วโป้งด้วย แต่ไม่เยอะ เช่น ชอน มัลโดนาโด้ - Shawn Maldonado) สามารถทำให้ปั่นรอบได้ง่าย วนสปีดการวิ่งมักสร้างมาจากจังหวะกระโดดในก้าวท้ายๆก่อนโยนครับ ผู้ที่ทำให้การโยนสองมือเป็นที่แพร่หลายคือเจสัน เบลมอนตี้ (Jason belmonte) ที่สามารถคว้าแชมป์ PBA ได้ถึง 23 สมัยแล้วตั้งแต่ปี 2008 จนปัจจุบัน เขาเป็นแรงบันดาลให้ๆหลายๆคนในโลกนี้มาฝึกโยนสองมือครับ ข้อดีของการโยนสองมือคือการโยนที่มีรอบบอลมหาศาลโดยมีมุมการออกบอลแบบไฮแทรค ทำให้ลูกเกาะและตะกุยเลนได้ดีและมีการเลี้ยวที่มีพลังรุนแรงมาก ส่วนข้อเสียของการโยนสองมือก็คือรอบบอลมักจะนำสปีดมาก ทำให้ลูกเลี้ยวเกิน หรือควบคุมได้ยากเมื่อเจอกับสถานการณ์น้ำมันแห้ง จำเป็นต้องฝึกจังหวะเดินเพื่อเพิ่มสปีดบอลครับ - แบคอัพ (ไม่มีรูปประกอบ) (Back-up) เป็นการโยนโค้งให้ลูกเลี้ยวไปคนละทางกับการโยนโค้งปกติ เช่นการโยนมือขวาแล้วให้ลูกเลี้ยวออกไปทางขวา (ซึ่งการโยนโค้กปกติ ถ้าโยนมือขวา ลูกจะเลี้ยวซ้าย) ผู้ที่โยนแนวนี้ในระดับนักกีฬายังสามารถหาได้เป็นบางท่านที่ประเทศญี่ปุ่นครับ - โยนมือเดียวไม่ใส่นิ้วโป้ง หรือใส่ครึ่งนิ้วโป้ง (ไม่มีรูปประกอบ) (Single hand/no thumb, Single hand/half thumb) เป็นแนวการโยนมือเดียวที่ผู้เล่นไม่ได้ใส่นิ้วโป้งไปในลูก หรืออาจใส่นิ้วโป้งให้จมลงไปในรูนิ้วโป้งแค่ข้อเดียว โดยเน้นการใช้ฝ่ามืออุ้มบอลแล้วล๊อคไว้กับข้อมือและท่อนแขน แล้วจึงปล่อยออกไป ข้อดีของการโยนแนวนี้คือสามารถโยนให้มีรอบเยอะและออกบอลเป็นไฮแทรคได้คล้ายการโยนสองมือ แต่การโยนแนวนี้ก็มีข้อเสียหลักๆเลยคือ ควบคุมการโยนลำบากเพราะลูกมีโอกาสจะดิ้นออกจากท่อนแขนได้ในขณะสวิง และผู้เล่นอาจเล่นบอลที่มีน้ำหนักเยอะมากไม่ค่อยได้ เพราะข้อมือต้องคอยเกร็งไว้เพื่ออุ้มน้ำหนักบอล นักกีฬาที่โยนแนวนี้เช่นทอม โดฮ์ตี้ (Tom Daugherty - ไม่ใส่โป้ง) และทอม สมอลวู้ด (Tom smallwood - ครึ่งโป้ง) ครับ โดยทอม โดฮ์ตี้สามารถโยนมือเดียวไม่ใส่โป้งโดยใช้ลูกที่น้ำหนักเยอะได้ เพราะขนาดตัวและมือที่ใหญ่มากจนสามารถอุ้มบอลไว้ได้ง่ายๆครับ เรื่องนี้เป็นเทคนิคเฉพาะตัว น้าจบไม่แนะนำให้เลียนแบบนะครับ เพราะถ้าฝึกไม่ดี อาจเกิดอุบัติเหตุกับตัวเองได้ครับ 3. ลูกข่าง/ยูเอฟโอ/เฮลิคอปเตอร์ (Spinner/ UFO/ Helicoptor) เป็นการโยนโบว์ลิ่งในอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความแตกต่างจากการโยนโค้งอย่างสิ้นเชิงครับ การโยนลูกข่าง ผู้เล่นจะหมุนปั่นลูกโบว์ลิ่งให้หมุนมีรอบจากด้านบนของลูก (ลูกโค้งจะปั่นรอบจากข้างลูก หลังลูก หรือใต้ลูก) แล้วจึงปล่อยให้ลูกโบว์ลิ่งไหลออกไป ลูกโบว์ลิ่งจะมีลักษณะไถลไปพร้อมกับหมุนในแนวนอนเหมือนลูกข่าง จึงเป็นที่มาขอชื่อเรียกว่าการโยนลูกข่างครับ วัตถุประสงค์นึงของการโยนลูกข่างคือเป็นการโยนตรงที่เพิ่มประสิทธิภาพขึ้นอีกระดับนึงจากรอบการหมุนในแนวนอน ทำให้พินเกิดการดีดกันเองมากขึ้น สำหรับบางท่าน การโยนลูกข่างทำให้ลูกเลี้ยวในลักษณะแบคอัพด้วยครับ ปัจจุบันการโยนลูกข่าง แพร่หลายในแถบประเทศไต้หวัน จีน และมาเก๊าครับ แนวทางโยนโบว์ลิ่งในปัจจุบันที่ใช้กันก็มีประมาณนี้นะครับ การโยนแต่ละแนวที่มีลักษณะที่แต่งต่างกันล้วนแต่มีความความสำคัญในการเลือกลูกโบว์ลิ่ง และวิธีการเจาะลูกโบว์ลิ่งทั้งนั้น หากเรารู้แนวการโยนของตัวเองแล้ว การวางแผนที่จะเลือกอุปกรณ์ได้อย่างแม่นยำก็จะทำได้ง่ายขึ้น และในส่วนของน้าจบ จากประสบการณ์การเจาะลูกโบว์ลิ่งมาเกือบ 25 ปี น้าจบได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับการโยนในทุกรูปแบบ เพื่อให้สามารถเจาะลูกได้อย่างเหมาะสมตามความต้องการของแต่ละท่านตามสไตล์การโยนส่วนบุคคล หากท่านใดสนใจงานเจาะในแบบเฉพาะทางของน้าจบ
ติดต่อน้าจบได้ที่ เพจ ร้าน้าจบรับซ่อมลูกโบว์ลิ่ง
https://www.facebook.com/najobbowling

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น